ประเด็นร้อน
แฉสมยศไม่แจ้งปปช. ยืมเสี่ยกำพล300ล้าน เปิดกรุสมบัติพบ มีเพียงหนี้กู้แบงก์
โดย ACT โพสเมื่อ Feb 12,2018
- - สำนักข่าวเดลินิวส์ - -
"สมยศ" งานเข้าไม่เลิกไม่มีการแจ้ง ป.ป.ช.เรื่องเงินยืมเสี่ยกำพล 300 ล้านบาท สมัยดำรงตำแหน่ง สนช. แย้งกับเจ้าตัว ที่บอกแจ้งให้ทราบแล้ว ขณะเดียวกันเปิดกรุสมบัติ "สมยศ-ภรรยา" มีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท มีเพียงหนี้กู้เงินจากธนาคาร 10 กว่าล้านบาทเท่านั้น "วัชระ" ย้อนถาม สนช.250 คน เป็นไซด์ไลน์ด้วยหรือไม่
กลายเป็นเรื่องเป็นราวถึงสองงานติด กัน สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ หรือบิ๊กอ๊อด พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเป็นสมาชิก สนช. ทั้งเรื่องยืมเงิน 300 ล้านบาท จากเสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์ ผู้ต้องหาค้ามนุษย์ เจ้าของอาบอบนวด วิคตอเรีย ซีเครท และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า "เป็นตำรวจไซด์ไลน์ แต่อาชีพหลักคือนักธุรกิจ" ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นอย่างมากว่า ไม่ให้เกียรติอาชีพตำรวจ จนทำให้มีกระแสข่าวต่อต้านกันเป็นจำนวนมาก จนนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือต่อสนช. ให้เอาผิดทางจริยธรรม พร้อมส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) คืนเงินเดือนและกระบี่พระราชทาน
สำหรับเรื่องแรก พล.ต.อ.สมยศ ออกมาระบุว่า เป็นเงินยืมและได้ใช้หนี้เงินจำนวนดังกล่าวไปหมดแล้ว โดยผ่านธุรกรรมการเงินของธนาคาร โดยมีเอกสารการกู้ยืมและโอนเงินผ่านระบบธนาคาร อีกทั้งยังได้รายงานให้ ป.ป.ช.รับทราบไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ส่วนเรื่องตำรวจไซด์ไลน์ ได้ออกแถลงการณ์ว่า เป็นการตอบคำถามสื่อที่ถามนำชื่อตนไปพาดพิงกับกรณีวิคตอเรีย และอยากให้สื่อเข้าใจว่ารายได้ส่วนใหญ่มาจากการทำธุรกิจและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนเงินเดือนตำรวจเป็น รายได้รอง เพราะไม่เคยรับส่วย หรือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ได้มีเจตนาเชิงลบหรือสะเทือนใจเพื่อนตำรวจ ยืนยันว่าตลอดชีวิตรับราชการตำรวจ รักและภาคภูมิใจอาชีพตำรวจ ไม่เคยคิดดูถูกดูหมิ่นดูแคลน มีความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในสายเลือด ตามที่เสนอข่าวให้ทราบนั้น
ต่อมาวันที่ 10 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการตรวจสอบในบัญชีแสดงหนี้สิน และทรัพย์สินที่ พล.ต.อ.สมยศ ยื่นแสดง ต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2557 พบว่า พล.ต.อ.สมยศ ไม่ได้มีการแจ้งเรื่องกู้ยืมเงิน หรือการคืนเงินไว้ในบัญชีทรัพย์สิน ในส่วนของหนี้สินที่มี หลักฐานเป็นหนังสือ หรือหนี้สินอื่นแต่อย่างใด โดย พล.ต.อ.สมยศ แจ้งรายละเอียดในบัญชีแสดงหนี้สินและทรัพย์สิน ว่า มีทรัพย์สินทั้งของ พล.ต.อ.สมยศและภรรยารวมทั้งหมด 374,679,849.28 บาท โดยแยกเป็นเงินฝากของผู้ยื่น 11,544,651.59 บาท ของภรรยา 27,790,529.70 บาท เงินลงทุนของผู้ยื่น 53,117,900 บาท ของภรรยา 1,280,216.99 บาท เงินให้กู้ยืมของผู้ยื่น 109,000,000 บาท ที่ดินของผู้ยื่น 40,792,601 บาท ของภรรยา 65,810,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างของผู้ยื่น 2,000,000 บาท ของภรรยา 23,343,950 บาท ทรัพย์สินอื่น ๆ ของผู้ยื่น 30,000,000 บาท ของภรรยา 10,000,000 บาท ในส่วนของหนี้สินของ พล.ต.อ.สมยศและภรรยา รวมทั้งสิ้น 18,822,122.76 บาท โดยระบุว่าเป็นเงินกู้จากธนาคาร และสถาบันการเงินอื่นของผู้ยื่น 13,947,446.47 บาท ของภรรยา 4,874,676.29 บาท รวมแล้ว พล.ต.อ. สมยศและภรรยา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 355,857,726 บาท
ขณะที่รายได้ที่ พล.ต.อ.สมยศ แจ้ง ไว้เมื่อปี 2557 ประกอบด้วย รายได้ประจำ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1,348,730.46 บาท รายได้อื่น ๆ จาก บมจ.ทุ่งคาฮาเบอร์ 20,000 บาท บจก.เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) 39,095,250 บาท และ บจก.แอสเซ็ท มิลเลี่ยน วอเตอร์ 12,000,000 บาท โดยรายได้จาก บจก.เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) และ บจก.แอส เซ็ท มิลเลี่ยน วอเตอร์ มาจากการที่ พล.ต.อ. สมยศ ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของทั้ง 2 บริษัท
ส่วนทรัพย์สินในส่วนของเงินลงทุนที่พล.ต.อ.สมยศ เคยระบุว่า เป็นรายได้หลักนั้น ในส่วนของ พล.ต.อ.สมยศ มีเงินลงทุนทั้งหมด 53,117,900 บาท ประกอบด้วย OTO บล.เอเชียพลัส จำกัด จำนวน 250,000 หุ้น มูลค่า ณ ขณะนั้น 1,787,500 บาท, RS บล.เอเชียพลัส จำกัด จำนวน 322,900 หุ้น มูลค่า ณ ขณะนั้น 2,647,780 บาท, SAMART บล.เอเชียพลัส จำกัด จำนวน 1,000,000 หุ้น มูลค่า ณ ขณะนั้น 23,200,000 บาท, SIM บล.เอเชียพลัส จำกัด จำนวน 3,000,000 หุ้น มูลค่า ณ ขณะนั้น 10,680,000 บาท, บล.ฟินันเซียไซรัส ไม่มีหุ้น, RMF บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 74,939.7911 หุ้น มูลค่า ณ ขณะนั้น 927,147.60 บาท, SIRIRMF บมจ.ธนาคารกรุงเทพฯ จำนวน 15,523.0021 หุ้น มูลค่า ณ ขณะนั้น 567,328.12 บาท, BLTF บมจ.ธนาคารกรุงเทพฯ จำนวน 50,000.0000 หุ้น มูลค่า ณ ขณะนั้น 473,220 บาท, บจก.แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำนวน 10,187,600 หุ้น มูลค่า ณ ขณะนั้น 101,876,000 บาท, บจก.เลอโวเทล เขาใหญ่ จำนวน 133,334 หุ้น มูลค่า ณ ขณะนั้น 13,333,400 บาท รวม มูลค่าเงินลงทุนของ พล.ต.อ.สมยศทั้งหมด 117,177,095.72 บาท ซึ่งน่าสนใจว่ามีมูลค่ามากกว่าที่แจ้งไว้ในทรัพย์สินรวม
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปที่ พล.ต.อ.สมยศ เพื่อสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถติดต่อได้ โดยทราบจากคนใกล้ชิดว่า พล.ต.อ.สมยศเดินทางไปต่างประเทศก่อนหน้านี้แล้ว
วันเดียวกัน นายวัชระ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ พล.ต.อ.สมยศ ไม่ได้แจ้งรายการกู้ยืมเงิน 300 ล้านบาทกับ ป.ป.ช.สมัยดำรงตำแหน่ง สนช. เมื่อปี 57 เป็น การส่อพิรุธและน่าสงสัย ว่ามีธุรกรรมการเงินดังกล่าวตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ ทั้งนี้ตนได้ยื่นเรื่องต่อนายพรเพชร พิชิตชลชัย ประธาน สนช.เพื่อส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. และ ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากนายพรเพชรไม่ส่งเรื่องถือเป็นการปกป้องพวกพ้องในแม่น้ำ 5 สายด้วยกันหรือไม่ อย่างไรก็ตามในวันที่ 12 ก.พ.นี้ ตนจะไปยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. และ ปปง. เพื่อให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.ต.อ.สมยศ ถึงการทำธุรกรรมดังกล่าว และเงินจำนวนนั้นได้เอาไปให้ใคร หรือเอาไปทำอะไรบ้าง เพราะเงิน 300 ล้านบาท ถือเป็นจำนวนมหาศาล
นายวัชระระบุต่อว่า ตนไม่เคยโกรธ เคืองอะไรเป็นการส่วนตัวกับ พล.ต.อ.สมยศ แต่ในฐานะอดีต ส.ส. ประชาชนขอให้ไปดำเนินการ เพราะบรรดาสมาชิก สนช. ด้วย กันไม่กล้าดำเนินการใด ๆ ในกรณีนี้อาจเป็นเพราะเกรงใจในฐานะ สนช. ด้วยกัน และที่ พล.ต.อ.สมยศ บอกว่าเป็นตำรวจไซด์ไลน์ ตนสงสัยว่าบรรดาคนเป็น สนช. ทั้ง 250 คน เป็น สนช. ไซด์ไลน์เหมือน พล.ต.อ.สมยศ พูดไว้ด้วยหรือไม่
#ACTองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน