ประเด็นร้อน
ใช้งบ อปท. 1.5 แสนล้านบาท ต้องโปร่งใส อย่าให้มีทุจริต
โดย ACT โพสเมื่อ Dec 01,2017
- - สำนักข่าวไทยโพสต์ - -
ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา ทาง พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ได้รับทราบสถานะเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และแนวทางการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้ อปท.นำเงินสะสมคงเหลือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ 150,954.34 ล้านบาท เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล จากทั้งสิ้น 318,342.68 ล้านบาท
พล.ท.สรรเสริญบอกไว้ว่า แนวทางก็คือ ให้กระทรวงมหาดไทยทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในการขอยกเว้นเงื่อนไขที่จะต้องสำรองเงินสะสมจำนวนหนึ่งไว้ก่อน กรณีเกิดสาธารณภัย สำรองงบบุคลากร เงินที่จะต้องทดรองจ่ายให้แก่ประชาชนก่อนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เช่น ค่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ผู้พิการ และรายการผูกพันไว้แต่ยังไม่จ่ายจำนวน 167,388.34 ล้านบาท
จึงเท่ากับว่า หากกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ รวมถึงหน่วยตรวจสอบอย่างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หารือกันได้ถึงกรอบแนวทางการใช้เงินดังกล่าว ก็จะทำให้อีกไม่นานหลังจากนี้ ก็จะมีเม็ดเงินเข้าไปในกลไกระบบเศรษฐกิจโดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากในต่างจังหวัด ผ่าน อปท.ต่างๆ ทั่วประเทศร่วม 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากทีเดียวในระบบโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปก็คือ เมื่อสุดท้าย มีการนำเงินสะสมดังกล่าวของ อปท.ที่ฝากไว้ในสถาบันการเงินของรัฐนำออกมาใช้ เพื่อทำโครงการต่างๆ เช่น การจ้างงาน การก่อสร้างใน อปท.ระดับต่างๆ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนผ่านโครงการประชารัฐ ตามที่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจวาดฝันเอาไว้ ว่าเม็ดเงินดังกล่าวน่าจะเป็นอีกหนึ่งมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากให้เดินไปได้ ซึ่งหากเดินไปได้ดี เศรษฐกิจในภาพกว้างก็น่าจะดีไปด้วย หากแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ มีการจ้างงาน มีการใช้เงิน ก็จะทำให้ตัวเลขด้านเศรษฐกิจในภาพรวมดีขึ้นไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การใช้เงินดังกล่าว แม้กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ รวมถึง สตง. อาจจะมีการปลดล็อกให้มีการนำ เงินมาใช้จ่ายเพื่อให้ อปท.ไปทำโครงการเพื่อให้บริการกับประชา ชน แต่สิ่งสำคัญก็คือ จะต้องมีการกำกับตรวจสอบและติดตามการใช้เงินดังกล่าวให้ดี ไม่ให้มีการรั่วไหล เปิดช่องให้มีการทุจริต เพราะด้วย อปท.ที่มีเป็นจำนวนมากหลายพันแห่งทั่วประเทศ การตรวจสอบติตตามอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้การใช้เงินดังกล่าวรั่วไหลทุจริต ในทางปฏิบัติ การตรวจสอบอย่างทั่วถึงทั้งระดับ อบต.เทศบาล-อบจ.ทั่วประเทศ คงทำได้ยาก ก็อาจจะมีรอดหูรอดตาไปบ้าง ดังนั้น ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีมาตรการในการติดตามตรวจสอบการใช้เงินดังกล่าวของ อปท. ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เพราะก่อนหน้านี้ ก็มีเสียงทักท้วงการที่รัฐบาลมีแนวคิดนำเงินท้องถิ่นมากระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นก่อนหน้านี้ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ย้ำว่า แม้จะสนับสนุนแนวทางของสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่มีนโยบายจะนำเงินสะสมของท้องถิ่นไปจัดทำโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวและพัฒนาอาชีพในชุมชน แต่ก็ควรต้องทำควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้มีการกระจาย อำนาจอย่างแท้จริง คือ กระจายทั้งงบประมาณและภารกิจ ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. พ.ศ.2542 แต่การใช้เงินสะสมเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวของนายสมคิด ขัดทั้งระเบียบ มท. และกฎหมาย
โดยนายชวลิตอ้างว่า ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้จ่ายเงินสะสมท้องถิ่น ได้กำหนดหลักเกณฑ์การใช้เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน จำเป็น เร่งด่วนในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น การบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งยังต้องสำรองไว้ใช้จ่ายเป็นค่าเบี้ยยัง ชีพคนชราและคนพิการ เป็นต้น ดังนั้น การที่มติ ครม.จะให้มีการแก้ไขระเบียบ มท.เพื่อเอื้อต่อการใช้เงินดังกล่าว เท่ากับทำลายหลักการเดิมที่ มท.ได้กำหนดไว้แล้วอย่างรอบคอบ เคร่งครัด เพื่อรักษาเงินสะสมไว้ใช้เมื่อมีเหตุจำเป็น เงินสะสมท้องถิ่นเกือบสอง แสนล้านบาทไม่ใช่เพิ่งมาสะสมในห้วงเวลา 3 ปีของการรัฐประ หาร แต่ได้สะสมมาตั้งแต่ท้องถิ่นนั้นๆ เริ่มจัดตั้ง หากหมดลงหรือร่อยหรอในยุคนี้สมัยนี้ และเกิดเหตุสาธารณภัยที่ไม่คาดฝันในท้องถิ่น แต่ไม่มีเงินบรรเทาหรือเยียวยาในเบื้องต้น ถามว่านายสมคิดจะรับผิดชอบอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อ ครม.เห็นชอบในหลักการดังกล่าวแล้ว ขั้นตอนต่อจากนี้ ต้องรอดูผลการหารือและการวางกรอบการใช้เงินดังกล่าวที่สูงถึง 1.5 แสนล้านบาทว่า สุดท้าย หน่วยงานภาครัฐในส่วนกลาง จะมีการวางกรอบการใช้เงินดังกล่าวของ อปท.อย่างไร ขณะเดียวกัน ฝ่าย อปท.ทั่วประเทศ ที่แน่นอนว่าต้องการนำเงินดังกล่าวออกมาใช้อยู่แล้ว ก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนให้ได้ว่า เมื่อ อปท.มีการตั้งงบใช้เงินและนำเงินออกมาใช้แล้ว อปท.ทั่วประเทศก็ต้องทำให้โปร่งใส ตรวจสอบได้หมดทุกบาท ทุกโครงการ
#ACTองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน