ประเด็นร้อน
ปปช.โอด'งบปราบโกง'น้อย จี้เลิกโทษประหารคดีสินบน
โดย ACT โพสเมื่อ Jul 06,2017
- - สำนักข่าว กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 6/07/60 - -
ป.ป.ช.ระบุงบประมาณปราบคอร์รัปชันน้อย ปีละเพียง 3 พันล้าน ยอมรับปัญหาที่ผ่านมาคือความล่าช้า ตั้งเป้าแสวงหาข้อเท็จจริงใน 6 เดือน จบคดีภายใน 2 ปี เสนอเลิกโทษประหารโดยเฉพาะ "คดีสินบน" ห่วงต่างชาติไม่ให้ข้อมูล ด้านกรธ.เล็งเสนอในกฎหมายลูก ให้กรรมการ ป.ป.ช. ทำคำวินิจฉัยส่วนบุคคลใน การพิจารณาคดีเพื่ออธิบายสาธารณชน
ในการจัดสัมมนา "ร่างกฎหมายป.ป.ช.: ก้าวใหม่ แห่งการปฏิรูปการปราบปรามการทุจริต" จัดโดยคณะกรรมาธิการการเมือง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วานนี้ (5 ก.ค.) มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเสวนาอย่างกว้างขวาง รวมทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่แสดงความเป็นห่วงงบประมาณปราบโกงที่มีเพียง 3 พันล้านบาท พร้อมกับเสนอยกเลิกโทษประหารชีวิต คดีทุจริต เพื่อเปิดทางต่างประเทศให้ข้อมูล
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. กล่าวเปิด การสัมมนาตอนหนึ่งว่ารัฐธรรมนูญ2560 ได้รับ การขนานนามว่าเป็นฉบับปราบโกง ซึ่งภารกิจดังกล่าวคงหนีไม่พ้นป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีความสำคัญมายาวนาน ไม่ว่า จะมีการปฏิวัติรัฐประหารกี่ครั้ง ป.ป.ช. ก็ยังอยู่ยืนยงเพื่อดูแลปัญหาที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งต้องคิดกันว่า ทำอย่างไรกระบวนการไต่สวนพิจารณาข้อร้องเรียนมีความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม เพราะความยุติธรรมที่ล่าช้า ก็ไม่ถือว่าเป็นความยุติธรรมที่แท้จริง
ส่วนตัวมองว่าป.ป.ช. ต้องมีกระบวนการที่ให้ความเป็นธรรมต่อคนที่ถูกกลั่นแกล้ง เรื่องร้องเรียนที่ไม่มีสาระ ไม่มีข้อมูลเพียงพอ ต้องรีบดำเนินการให้รวดเร็ว หากจ้องแต่จะฟ้องอย่างเดียวคนสุจริตก็เดือดร้อน เพราะเวลาฟ้องเป็นข่าว แต่เวลาระงับไปไม่เป็นข่าวก็เกิดความเสียหาย
ป.ป.ช.ยอมรับการทำงานล่าช้า
ด้านพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญของการทำงานในเวลานี้ คือความล่าช้า เนื่องมาจากการมีคดีเข้าสู่ระบบการทำงานของ ป.ป.ช. จำนวนมาก ประกอบกับบุคลากรของ ป.ป.ช. มีอย่างจำกัด อย่างไรก็ตาม ในร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉบับใหม่ที่ได้มีการเสนอไปยังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ทาง ป.ป.ช.ได้กำหนดกรอบระยะเวลาการทำงานไว้ในร่างกฎหมายด้วย โดยถ้าเป็นขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริง จะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 6 เดือน แต่สามารถขยายเวลาครั้งละ 3 เดือน หากเป็นขั้นตอนการไต่สวน จะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 2 ปี แต่สามารถขยายเวลาได้ เพราะต้องยอมรับว่า บางคดีมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานให้รอบด้าน
สำหรับขั้นตอนการฟ้องคดีต่อศาล ทาง ป.ป.ช. มีนโยบายจะพยายามให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดในการฟ้องคดีต่อศาล เพราะอัยการเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีในชั้นศาล เว้นเสียแต่หากอัยการสูงสุด และป.ป.ช. ไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้จริงๆ ป.ป.ช. ถึงจะนำสำนวนมาฟ้องคดีต่อศาลด้วยตัวเองตามกฎหมาย
โอดงบปราบโกงปีละแค่3พันล.
ประธาน ป.ป.ช. ยังกล่าวถึงการตรวจสอบ บัญชีทรัพย์สินและหนี้ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูงว่า ตามกฎหมายฉบับปัจจุบันกำหนดให้ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบทุกบัญชี ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องระยะเวลาในการทำงาน จึงมีความคิดว่าในกรณีของการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินข้าราชการระดับสูงนั้นอาจตรวจสอบเป็นกลุ่มในบางตำแหน่งที่มีความเสี่ยงต่อการกระทำทุจริต แต่ในกรณีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติ ยังต้องคงหลักการเดิมเอาไว้ คือ การเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนเข้ามาร่วมกันตรวจสอบและแจ้งเบาะแสต่อป.ป.ช.
"ปัจจุบันงบประมาณแผ่นดินตามร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561มีงบประมาณการแก้ไขปัญหาการทุจริตประมาณ3พันล้านบาท จากงบประมาณทั้งหมดประมาณฯ3ล้านล้านบาท เป็น.01%ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด คือ งบประมาณแผ่นดิน100บาท ใช้ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตประมาณ10สตางค์ ซึ่งน้อยมาก เงิน3พันล้านบาท เท่ากับงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่มีงบประมาณบูรณะ3-4พันล้านบาทต่อปี เราเป็นองค์กรอิสระจริง แต่เป็นอิสระในเรื่องของการวินิจฉัย แต่ในเรื่องอย่างอื่นเราไม่อิสระ เพราะเราต้องขอเงินและคนจากรัฐบาล" ประธานป.ป.ช.กล่าว
เสนอยกเลิกโทษประหารคดีสินบน
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังเสนอให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตในคดีทุจริตการให้สินบนตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบการทุจริตฉบับปัจจุบัน เนื่องจากที่ผ่านมาเราไม่ได้รับความร่วมมือจากองค์กรระหว่างประเทศในการตรวจสอบการให้สินบนระหว่างประเทศ ซึ่งการจะทำให้การดำเนินคดีเหล่านี้ประสบความสำเร็จจะต้องได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศ
ขณะที่นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า ปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ผ่านมา คือ ความล่าช้าในการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ร่วมกันระหว่างอัยการสูงสุดกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีหลายคดีที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน เช่น อัยการขอให้เพิ่มเติมหลักฐานในบางส่วนแต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะอีกฝ่ายมองว่า พยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงคิดว่าในร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯฉบับใหม่ควรดำเนินการแก้ไข โดยกำหนดลงไปในกรณีที่ถ้าอัยการสูงสุดเห็นว่า พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ จะต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐาน เพิ่มเติมตามที่อัยการสูงสุดแจ้งไป ส่วนจะรวบรวมมาได้หรือไม่นั้นค่อยมาพิจารณาในขั้นตอนการปฏิบัติอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะดีกว่าการให้อีกฝ่ายปฏิเสธเสียตั้งแต่แรก
จ่อแก้ไขก.ม.วิธีพิจารณาความอาญา
รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า ในร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีการให้สิทธิแก่ ป.ป.ช. สามารถยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา ซึ่งโดยหลักแล้วการอุทธรณ์คดีหรือฎีกาคดีโดยหลักแล้วจะเป็นหน้าที่ของคู่ความ คือ โจทก์หรือจำเลย ซึ่งในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะไม่ได้เป็นโจทก์ตั้งแต่แรก ดังนั้นการให้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาแก่ ป.ป.ช. เป็นที่อยู่นอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งอาจทำให้ต้องมีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
"ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่า การพิจารณาคดีในชั้นศาลได้ดำเนินการพิจารณาโดยใช้สำนวนของ ป.ป.ช. เป็นหลักอยู่แล้ว มีการพิสูจน์ความจริงกันมาในศาลและอัยการสูงสุดชั้นหนึ่งแล้ว และอัยการสูงสุดเป็น ผู้ดำเนินคดีอาญาสูงสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นคนชี้ขาดในเรื่องการยื่นอุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญาทั่วไป จึงสมควรให้อำนาจสูงสุดแก่อัยการสูงสุด อย่างไรก็ตามหากจะตรวจสอบการสั่งไม่อุทธรณ์หรือไม่ฎีกาของอัยการสูงสุดกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็สามารถดำเนินการได้" รองอัยการสูงสุด กล่าว
กรธ.เสนอแจงความเห็นส่วนบุคคล
อย่างไรก็ดีนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการ กรธ. กล่าวว่า กรธ.ในฐานะผู้จัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯจะนำความคิดเห็นของ ป.ป.ช. และอัยการสูงสุดไปพิจารณาไว้ในร่างกฎหมายที่จะเสนอให้กับ สนช. ต่อไป แต่เวลานี้ กรธ. มีแนวความคิดอาจจะกำหนดไว้ในร่างพ.ร.บ.ประกอบ รัฐธรรมนูญฯว่า ในการวินิจฉัยของ ป.ป.ช. แต่ละคดี กรรมการ ป.ป.ช. แต่ละคนจะต้องจัดทำคำวินิจฉัยส่วนบุคคล หรือ กำหนดมาตรฐานการทำคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณะทราบว่า ป.ป.ช. มีวิธีการในการวินิจฉัยคดีอย่างไร เพราะการปราบปรามการทุจริตที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพดีที่สุด คือ การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการได้ เพราะปัญหาการทุจริตในปัจจุบันเกิดขึ้นเป็นกระบวนการ จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย